Home ข่าวสาร/บทความ แว่นโพลาไรซ์ vs ฟิล์มกรองแสง : เลือกอะไรดีสำหรับการขับขี่ ?

แว่นโพลาไรซ์ vs ฟิล์มกรองแสง : เลือกอะไรดีสำหรับการขับขี่ ?

0
แว่นโพลาไรซ์
แสงจ้า ฟิล์มกรองแสงช่วยได้

แว่นโพลาไรซ์ vs ฟิล์มกรองแสง : เลือกอะไรดีสำหรับการขับขี่ ?

          ปัจจัย 4 คือ สิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ได้แก่ อาหาร สิ่งจำเป็นที่มนุษย์ต้องบริโภคเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานและสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและซ่อมแซมร่างกาย ที่อยู่อาศัย เป็นที่พักผ่อน ปกป้องร่างกายจากสภาพอากาศ ภัยอันตราย และสัตว์อื่นๆ เครื่องนุ่งห่ม เป็นสิ่งที่ใช้ปกปิดร่างกาย และสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย และ ยารักษาโรค เป็นสิ่งที่ใช้ในการบรรเทาอาการเจ็บป่วย และป้องกันโรคต่างๆ 

          แต่ใน ความเป็นจริง ปัจจัยที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอาจจะมีมากกว่า 4 ปัจจัย เช่น การศึกษา สังคม หรือแม้แต่หน้าที่ในการทำงาน และนอกจากนี้ปัจจัย 4 ก็ยังสามารถนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์อื่นๆ ที่บ่งบอกตัวตนได้  การแสดงสถานะทางสังคม หรือ การอุปกรณ์ตกแต่ง เพื่อให้เกิดเอกลักษณ์แตกต่างจากผู้อื่น เช่น การสวมใส่แว่นตากันแดด

          แว่นกันแดด หรือ แว่นดำ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สวมใส่เพื่อป้องกันดวงตาจากแสงแดดและรังสียู โดยแว่นกันแดดจะมีเลนส์ที่ทำจากวัสดุต่างๆ เช่น พลาสติก แก้ว หรือโพลีคาร์บอเนต และเลนส์อาจเคลือบด้วยสารพิเศษต่าง ๆ เช่น แผ่นกรองโพลาไรซ์ (Polarizing Filter) ช่วยให้มีคุณสมบัติพิเศษทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น ช่วยลดแสงจ้า ปรับแสงสีขาว และแสงสะท้อนที่ทำให้ตาพร่ามัว จากการลดแสงสะท้อนจากพื้นผิวต่าง ๆ ตั้งแต่ ผิวน้ำ ผิวถนน กระจกรถยนต์ รวมถึงความมันเงาของสีรถยนต์อีกด้วย

          จะเห็นว่า แว่นโพลาไรซ์ มีคุณสมบัติในการตัดแสงแนวนอน หรือแนวระนาบนั้นทำให้เกิดปัญหาเมื่อนำไปใช้กับหน้าจอมือถือ หน้าปัดรถที่เป็น digital หรือแม้แต่ฟิล์มกระจกรถเก่าๆ ก็อาจจะรบกวนการมองเห็นได้ เนื่องจากชิ้นเลนส์นั้นได้ตัดแสงสะท้อนในบางแกนออกไป มีข้อดีในด้านทัศนวิสัย แต่ก็มีข้อเสีย เช่น การมองเห็นสีจะเพี้ยน และมืด จึงไม่เหมาะกับการสวมใส่ขณะขับขี่กับรถที่ใช้ฟิล์มกรองแสงบางรุ่น หรือฟิล์มที่ใกล้เสื่อมสภาพก็อาจมีผลในการมองได้ เป็นต้น

          แล้วถ้าต้องการทัศนวิสัยขับขี่ควรทำอย่างไร??? บทความนี้ ขอแนะนำการติด ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการเพิ่มทัศนวิสัยเช่นเดียวกับการสวมใส่แว่นโพลาไรซ์ และยังมีข้อดีอื่น ๆ ดังนี้

  1. ป้องกันรังสียูวี (UV) ฟิล์มกรองแสงสามารถช่วยป้องกันอันตรายจากรังสี UV ได้ทั้งร่างกายของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ซึ่งแตกต่างจากแว่นโพลาไรซ์ที่ป้องกันได้เฉพาะบริเวณดวงตาเท่านั้น
  2. ป้องกันแสงจ้า และแสงสะท้อน ฟิล์มกรองแสงสามารถช่วยลดแสงจ้าและแสงสะท้อนเช่นเดียวกับแว่นโพลาไรซ์
  3. เพิ่มความสวยงาม แว่นโพลาไรซ์เป็นเหมือนอุปกรณ์หนึ่งที่ใช้ตกแต่งร่างกาย ฟิล์มกรองแสงก็เป็นเหมือนอุปกรณ์หนึ่งที่ใช้ตกแต่งรถยนต์เช่นกัน

          นอกจากนี้ ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ยังมีประโยชน์ที่ไม่ต้องสวมแว่นโพลาไรซ์อีกด้วย คุณสมบัติดังนี้

  1. ป้องกันความร้อน ฟิล์มกรองแสงรถยนต์สามารถป้องกันความร้อนจากแสงแดดได้ 60-80%
  2. ความเป็นส่วนตัว ฟิล์มกรองแสงรถยนต์สามารถบดบังสายตาจากภายนอก ทำให้ป้องกันการมองเห็นจากภายนอกเข้ามาภายในรถยนต์ แต่ภายในสามารถมองเห็นภายนอกได้อย่างชัดเจน
  3. ป้องกันอันตรายได้จากการที่กระจกแตก ฟิล์มกรองแสงจะเป็นชั้นบางๆ อยู่ภายในรถยนต์ เมื่อกระจกแตกจะช่วยรองรับเศษกระจก ไม่ให้กระจายใส่ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารได้ระดับหนึ่ง
  4. รักษาอุปกรณ์ภายในรถยนต์ ฟิล์มกรองแสงจะช่วยป้องกันอุปกรณ์ในรถ เช่น เบาะ คอนโซล เครื่องเสียง จากแสงแดดที่ทำให้สีซีดจาง แตกร้าว หรือเสียหายได้
  5. ประหยัดน้ำมัน ฟิล์มกรองแสงช่วยลดภาระในการทำงานของเครื่องปรับอากาศ จึงส่งผลต่อการประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย

          สรุปการสวมใส่ แว่นโพลาไรซ์ จะสามารถป้องกันดวงตาจากแสงแดด และยังเพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็นได้ แต่แสงแดดไม่เพียงทำร้ายแค่ดวงตาเพียงอย่างเดียว ดังนั้นในขณะขับขี่รถยนต์จึงควรมี ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ เป็นตัวช่วยในการป้องกันอันตรายจากแสงแดด เพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ รักษาความเป็นส่วนตัว แถมยังเป็นอีกวิธีที่ช่วยในการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงได้อีกด้วย

          การจะเลือกติดฟิล์มกรองแสง ก็ควรเลือกร้านที่น่าเชื่อถือ ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้ ด้วยผลงานการติดฟิล์มกรองแสงมายาวนานกว่า 37 ปี ด้วยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านกระจกรถยนต์และฟิล์มกรองแสง พร้อมให้คำปรึกษาถึงความเหมาะสมในการเลือกใช้งานฟิล์มกรองแสงอย่างจริงใจได้ที่นี้ GLASSTECH

No Comments

Leave A Reply

Please enter your comment!
Please enter your name here

Exit mobile version