รีวิวฟิล์ม MG GS
ติดฟิล์มอย่างไรให้เข้ากับความสปอร์ต

Toyota Corolla Altis เป็นรถยนต์นั่งขนาดคอมแพ็ค (C-Segment) ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยชื่อเสียงด้านความทนทาน ประหยัดน้ำมัน และค่าบำรุงรักษาที่ไม่แพง ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

ข้อมูลทั่วไปและคุณสมบัติเด่น
- เครื่องยนต์
- เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i
- ความจุกระบอกสูบ 1,598 ซีซี
- กำลังสูงสุด 125 แรงม้า (PS) ที่ 6,050 รอบต่อนาที
- แรงบิดสูงสุด 156 นิวตันเมตร ที่ 5,200 รอบต่อนาที
- รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุดถึง E85
- ระบบส่งกำลัง:
- เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อม Sequential Shift 7 สปีด

อุปกรณ์ภายนอก
- ไฟหน้า Projector Halogen หรือ LED (ขึ้นอยู่กับปีและรุ่นย่อย)
- ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (Daytime Running Lights – DRLs) แบบ LED
- ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 205/55 R16

อุปกรณ์ภายในและความสะดวกสบาย
- หน้าจอเครื่องเสียงระบบสัมผัส (ขนาด 8 หรือ 9 นิ้ว ในรุ่นใหม่ๆ) รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
- มาตรวัดแบบดิจิทัล/อนาล็อก
- ช่องจ่ายไฟ Accessory Socket
- เบาะนั่งด้านหลังแยกพับได้ 60:40 พร้อมที่วางแขนและที่วางแก้วน้ำ

ระบบความปลอดภัย
- ถุงลมนิรภัย (จำนวนถุงลมนิรภัยอาจแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่นย่อยและปีผลิต)
- ระบบเบรก ABS พร้อม EBD (Electronic Brake-force Distribution) และ BA (Brake Assist)
- โครงสร้างนิรภัย GOA
- ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC)

จุดเด่นของ Toyota Corolla Altis
- ความประหยัดน้ำมัน เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ Altis ได้รับการยอมรับ ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร พร้อมเกียร์ CVT ทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดี เฉลี่ยประมาณ 15-17 กม./ลิตร (ขึ้นอยู่กับสภาพการขับขี่)
- ความทนทานและค่าบำรุงรักษา Toyota Altis มีชื่อเสียงด้านความทนทานสูง อะไหล่หาง่าย ราคาไม่แพง และมีศูนย์บริการทั่วประเทศ ทำให้ดูแลรักษาง่ายและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำ

ปัจจัยสำคัญในการเลือกฟิล์มสำหรับรถขับในเมือง
- การลดความร้อน (Heat Rejection / TSER): การจราจรในเมืองมักจะติดขัด ทำให้รถจอดนิ่งอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน การเลือกฟิล์มที่มีประสิทธิภาพในการลดความร้อนสูงจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะค่า TSER (Total Solar Energy Rejected) ซึ่งคือเปอร์เซ็นต์รวมของพลังงานแสงอาทิตย์ที่ฟิล์มสามารถสะท้อนหรือดูดซับไว้ได้ ยิ่งสูงยิ่งดี และค่า IRR (Infrared Rejection) ที่บอกถึงการป้องกันรังสีอินฟราเรด ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความร้อนในห้องโดยสาร ควรเลือกฟิล์มที่มีค่า IRR สูงๆ (มากกว่า 80-90% ขึ้นไปยิ่งดี)
- ทัศนวิสัยในการขับขี่ (Visible Light Transmission – VLT):
- บานหน้า: สำหรับการขับขี่ในเมืองที่ต้องมองเห็นสภาพการจราจร ผู้คน และสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างชัดเจน ทั้งกลางวันและกลางคืน ควรเลือกฟิล์มบานหน้าที่ไม่มืดจนเกินไป โดยทั่วไปแนะนำ VLT ประมาณ 40-50% (ฟิล์ม 40-50%) เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจน ไม่เป็นภาระในการขับขี่ตอนกลางคืน หรือในสภาพแสงน้อย และยังช่วยลดแสงจ้าจากแดดจัดได้ดี
- รอบคัน (ด้านข้างและด้านหลัง): เพื่อความเป็นส่วนตัวและช่วยลดความร้อน ควรเลือกฟิล์มที่เข้มขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรมืดจนเกินไปจนมองไม่เห็นด้านข้างหรือขณะถอยจอด โดยทั่วไปแนะนำ VLT ประมาณ 20-30% (ฟิล์ม 60%) อาจจะเลือก 80% (VLT ประมาณ 5%) ถ้าต้องการความเป็นส่วนตัวสูงสุด แต่ต้องแลกมาด้วยทัศนวิสัยที่ลดลงมาก โดยเฉพาะเวลากลางคืน ซึ่งไม่เหมาะกับการขับขี่ในเมืองเท่าไหร่
- การป้องกันรังสี UV (UV Protection): ฟิล์มกรองแสงที่ดีควรป้องกันรังสี UV ได้สูงถึง 99% หรือ 9% เพื่อปกป้องผิวหนังและภายในห้องโดยสารจากความเสียหาย
- ชนิดของฟิล์ม:
- ฟิล์มเซรามิก (Ceramic Film): เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะมีคุณสมบัติเด่น คือ ให้ทัศนวิสัยในการมองออกไปนอกรถดีเยี่ยม ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีผลกระทบต่อสัญญาณ GPS, Easy Pass หรือสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งสำคัญมากสำหรับการขับขี่ในเมือง

ตัวอย่างการเลือกฟิล์มกรองแสงของ Toyota Corolla Altis
รถยนต์ Toyota Corolla Altis คันนี้เลือกฟิล์มกรองแสง Ray-Shield Nano Ceramic Film ที่มี คุณสมบัติป้องกัน UV ถึง 99% และค่า IR สูงถึง 95% โดยฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ไม่กีดกั้นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ฟิล์มสีมืด เมื่อมองจากภายนอก และสว่างให้ทัศนวิสัยเมื่อมองจากภายในรถยนต์ และยังรับประกันฟิล์มกรองแสงถึง 7 ปี ที่ 1 เรื่อง กระจกรถยนต์และฟิล์มกรองแสงรถยนต์ต้อง GLASSTECH เท่านั้น !!!